การเปลี่ยนขั้วอำนาจในลาลีก้าสเปน แอตเลติโกมาดริด เรอัลมาดริด บาเซโลน่า

การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในลาลีก้าสเปน แอตเลติโกมาดริด เรอัลมาดริด บาเซโลน่า

             ชัยชนะของแอตเลติโกมาดริดเหนือเรอัลบายาโดลิดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาส่งผลให้เรอัลบายาโดลิดต้องตกชั้นลงไปเล่นในเซกุนดา และนับว่าเป็นฤดูกาลที่ไร้เทียมทานสำหรับทีมตราหมีเพราะทำผลงานในลีกได้ดีเหลือเกิน พวกเขาทำคะแนนนำมาเกือบทั้งฤดูกาล และด้วยการครองแชมป์ลาลีก้าเป็นคำรบที่สองภายใต้การคุมทีมของดิเอโก ซิเมโอเน ในช่วงเวลาที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่ของลีกอย่างเรอัลมาดริดและบาเซโลน่ากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเงินมันทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าดุลอำนาจในวงการฟุตบอลสเปนมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

แอตเลติโกมาดริดประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในลาลีก้าภายใต้การคุมทีมของ ดิเอโก ซิเมโอเน

             ด้วยการคว้าถ้วยรางวัลแปดถ้วยในรอบทศวรรษนับตั้งแต่การมาคุมทีมของซิเมโอเนนี่คือช่วงเวลาที่ทีมประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอตเลติโกมาดริด โดยทีมตราหมีสามารถจบอันดับสามหรือสูงกว่านี้ในลาลีก้าสเปนเป็นเวลาเก้าฤดูกาลติดต่อกันโดยที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยทำสถิตินี้มานานกว่าสามฤดูกาลติดต่อกันและยังสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกถึงสองครั้ง และในช่วงสี่ฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขามีคะแนนเฉลี่ยเกือบจะเท่ากันคือ 77.8 คะแนนต่อฤดูกาล นอกเหนือจากการวางแทคติกที่โดดเด่นของดิเอโก ซิเมโอเนแล้ว แอตเลติโกมาดริดยังสามารถทุ่มเงินมหาศาลจำนวน 126 ล้านยูโรเพื่อคว้าตัว Joao Felix ดาวรุ่งชาวโปรตุเกสมาร่วมทัพ ซึ่งอย่างไรก็ตามบรรดาสื่อคาดว่าการที่สโมสรทุ่มค่าตัวระดับมหาศาลเช่นนี้จะกลับกลายเป็นหลุมดำที่มาฉุดสภาวะทางการเงินของสโมสรให้ย่ำแย่เหมือนสองยักษ์ใหญ่ในลีกอย่างเรอัลมาดริดและบาเซโลน่าและนั่นเป็นคำตอบที่จะอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าทำไมทั้งเรอัลมาดริดและบาเซโลน่าจึงมีแนวทางการร่วมก่อตั้งซูเปอร์ลีกขึ้นเพราะจะมีผลประโยชน์ทางการเงินเข้ามามากมายมหาศาล

ฤดูแห่งการเปลี่ยนแปลงในลาลีก้าสเปนจริงหรือ

             การที่ในฤดูกาลนี้สโมสรอย่างบาเซโลน่ายิงประตูได้ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008 และช่วงเวลาที่ย่ำแย่นี้สโมสรมีหนี้กว่า1.1พันล้านปอนด์และในสัปดาห์นี้พวกเขาต้องกู้เงินฉุกเฉินราว 100 ล้านปอนด์มาเพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ และจ่ายค่าจ้างผู้เล่นที่ยังติดค้างไว้ ทางด้านโจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งใหม่เมื่อเร็วๆนี้ได้ประกาศว่า”ทุกอย่างมันใกล้จบแล้ว”ท่ามกลางการรายงานของสื่อท้องถิ่นว่านักเตะทุกคนในทีมพร้อมจะถูกขายออกหากได้ราคาที่เหมาะสม และเฮดโค้ชอย่าง โรนัลด์ คูมันน่าจะถูกไล่ออกหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งทั้ง ชาบี เฮอนานเดซ ตำนานของสโมสรและ ฮานซี่ ฟลิกซ์ ต่างถูกเชื่อมโยงว่าอาจเป็นเฮดโค้ชคนต่อไปแต่ทุกอย่างยังคงไม่กระจ่างและในรายของ ฮานซี่ ฟลิกซ์นั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเค้าจะไปคุมทีมชาติเยอรมัน และเช่นเดียวกันในเมื่อทุกอย่างในถิ่นคัมป์นูมีความไม่แน่นอน และรวมไปถึงสถานการณ์ของลิโอเนล เมสซี่ที่จะยังอยู่กับทีมต่อไปหรือไม่ ทุกอย่างที่ว่ามามันคงยากที่จะจินตนาการว่าบาร์ซ่าจะกลับไปสู่ความรุ่งโรจน์แบบในครั้งอดีตได้อีกเมื่อไหร่ สำหรับสถานการณ์ของอีกฟากฝั่งอย่างเรอัลมาดริดยังไม่ได้สิ้นหวังเหมือนกับบาร์ซ่า แต่ก็อยู่ไม่ไกล ด้วยจำนวนหนี้สินที่เข้าใกล้ 1 พันล้านปอนด์และฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรจึงพยายามอย่างเปิดเผยเพื่อสร้างลีกยุโรปขึ้นมาใหม่อย่างซูเปอร์ลีก และมีข่าวลือว่าทางซีเนอดีน ซีดานจะลาออกในซัมเมอร์นี้และเซร์คิโอ รามอสกัปตันทีมยังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขในสัญญาฉบับใหม่ออกไปได้ ด้วยผู้เล่นคนสำคัญอย่างคาริม เบนเซม่าและลูก้า โมดริชที่อายุ30 ปี การเซ็นสัญญาที่แพงมหาศาลกับเอเด็น อาซาร์ ซึ่งยังไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาได้เท่ากับตอนอยู่เชลซี ยังดีผู้เล่นที่ดึงขึ้นมาจากทีมเยาวชนหลายคนสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีและทีมมีแนวโน้มจะใช้ผู้เล่นจากเยาวชนเพิ่มมากขึ้นและอาจลดการเสริมทีมลงไปได้บ้างในช่วงซัมเมอร์นี้ ทั้งนี้การจำกัดการเสริมทีมจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่เราจะเห็นว่าทั้งเรอัลมาดริดและบาซ่าไม่ได้ร่วมวงการเสริมผู้เล่นระดับบิ๊กเนมเหมือนดังเช่นทุกปี ในปีนี้นักเตะอย่าง เออร์ริ่ง ฮาแลนด์ หรือ คีเลี่ยน เอ็มปัปเป้ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะคว้ามาร่วมได้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบในการใช้เงินของทีม ซึ่งทางแอตเลติโกมาดริดอาจพอมองเห็นและเอามาเป็นข้อเรียนรู้ได้บ้าง ทางออกของทีมอาจต้องสร้างความมั่นคงและยั่งยืนมากกว่าการทุ่มซื้อนักเตะ ดังนั้นเมื่อฤดูกาลหน้ามาถึงในเดือนสิงหาคมนี้บางทีอาจเป็นครั้งแรกที่ในลาลีก้าสเปน ยักษ์ใหญ่และทีมเต็งอาจเปลี่ยนหน้ามาเป็นแอตเลติโกมาดริดแทน.