เมื่อ อันโดนี่ กอยโคเซีย หักข้อเท้าของ ดิเอโก้ มาราโดน่า ในปี 1983 มันทำให้นักเตะเลือดอาร์เจนมีเวลาคิดมากมายในขณะที่เขาวางแผนแก้แค้น “จอมชำแหละแห่งบิลเบา” มาราโดน่ากลับมาเล่นได้อีกในหลายเดือนให้หลัง ก่อนที่โคปาเดลเรย์ของบาร์เซโลนาจะเข้ารอบชิงชนะเลิศกับแอธเลติก บิลเบาที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในปี 1984

เหตุการณ์ที่สนามซานมาเมส เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาสื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองสโมสรที่อยู่ในระดับต่ำ เรื่องนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเกมที่เล่นกับเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นองค์กรที่ผู้สนับสนุนทั้งสองเกลียดชังโดยเฉพาะในยุคฟรังโก ก่อนเริ่มการแข่งขันชาวบาสก์และชาวคาตาลันต่างโห่ร้องเพลงชาติแสดงความรังเกียจต่อรัฐสเปน ความเกลียดชังซึ่งกันและกันช่วยสร้างบรรยากาศในขณะที่ธงประจำภูมิภาคโบกสะบัดอย่างรุนแรงหลังรั้วเหล็กรอบสนาม

ช่วงเปิดเกมเป็นการรวบรวมความท้าทายที่น่าตื่นเต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Iñigo Liceranzu กองหลังแอธเลติกทดสอบว่าข้อเท้าของ มาราโดน่า ฟื้นตัวจากการเข้าเสียบของเพื่อนร่วมทีมเขาเมื่อเก้าเดือนที่แล้วได้ดีแค่ไหน แบรนด์ ชูสเตอร์ ในตำแหน่งกองกลางของบาร์เซโลนาก็พลอยได้รับการทดสอบความแข็งแรงของกระดูกด้วยเช่นกัน ทำให้ความโกรธของเขาเพิ่มขึ้นตลอดการแข่งขัน

ในแง่ของฟุตบอลนั้น จริงอยู่ที่มันเป็นการเผชิญหน้าที่ยากลำบาก โดยจงใจเล่นงานไปที่ร่างกายมากกว่าเล่นฟุตบอล แอธเลติกเกือบขึ้นนำเมื่อ Endika Guarrotxena พบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกบล็อกจากกองหลังแถมไม่ล้ำหน้าอีกต่างหาก เมื่อเขาเรียกสติกลับมาได้ เขาพยายามที่จะเจาะผ่าน Francisco Urruticoechea แต่ผู้รักษาประตูก็ยังป้องกันไว้ได้ทำให้บอลช้าลง ทำให้กองหลังบาร์เซโลน่ากลับเข้ามาและเคลียร์บอลออกไปได้

ไม่นานจนกระทั่ง Endika ได้รับโอกาสอีกครั้ง เมื่อบาร์เซโลน่าผิดพลาดในการเคลียร์ลูกเตะมุมในนาทีที่ 13 ส่งกลับไปให้ Estanislao Argote ตัวรับบอลคนเดิมที่ม้วนบอลไปทางกรอบเขตโทษทางซ้าย Endika กำลังรออยู่ เขากดมันลงไปในเส้นทางของเขาอย่างใจเย็นจากนั้นยิงเข้ามุมด้วยเท้าซ้าย ดาวยิงหมายเลข 9 หันหลังและวิ่งถลาไปหากองเชียร์ที่เฮกระหึ่มเช่นเดียวกับธงที่สะบัดพริ้ว Endika ชูแขนข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง

จังหวะของเกมไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากทีมกำหนดเกี่ยวกับการตัดสินคะแนนโดยไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกินขีดจำกัด ทั้งเข่าและใบหน้าถูกทดสอบในระหว่างแข่งขันในช่วง 77 นาทีที่เหลือ ผู้ตัดสิน Ángel Franco Martínez แจกใบเหลือง 7 ใบในการแข่งขัน แต่ไม่มีใครทำฟาวล์รุนแรงจนสมควรถูกไล่ออก

บาร์เซโลน่าไล่ตามตีเสมออย่างเมามัน แต่ไม่สามารถหาใครเทียบได้กับการป้องกันที่เฉียบขาดของแอธเลติกและอันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า ที่เฝ้าประตูได้ ในขณะที่เสียงนกหวีดเป่าครั้งสุดท้าย มาราโดน่ากำลังปะทะกับ José María Núñez หน้าผากชนหน้าผากกับคู่ต่อสู้ของเขา บนอัฒจันทร์แฟนๆ แอธเลติกก็โห่ร้องฉลองชัยชนะที่มีเหนือคู่แข่งจากทั้งเกมเหย้าและเยือน รั้วเหล็กถูกฉีกออกและผู้เล่นสำรองและเหล่าสตาฟฟ์โค้ชก็วิ่งไปที่สนามเพื่อร่วมฉลองความสำเร็จ สำหรับมาราโดน่ามันเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ได้จินตนาการ - เขาคิดว่าเขาจะได้รับผลกรรมจากการปะทะกับทีมที่ตอนนี้เขาเกลียด แต่เขากลับทุ่มร่างกายของเขาและไม่ได้รับอะไรเป็นรางวัลเลย

ความโกรธและความคับข้องใจที่เพิ่มขึ้นภายในตัวเขาและเพื่อนร่วมทีมตลอด 90 นาทีถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อกรรมการเป่าหมดเวลา - เขาโจมตีผู้เล่นแอธเลติกทันที เหยื่อรายแรกของ มาราโดน่า คือ Miguel Ángel Sola ผู้เล่นสำรองที่ไม่ได้ลงสนามทั้งยังอยู่ในชุดวอร์มเต็มตัว ถูกเฮดบัตต์เข้าใส่ และมาราโดน่ายังกระโดดเข่าลอยใส่หน้าจนล้มลงกับพื้นสนามหญ้า เมื่อถึงจุดนี้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตะลุมบอนไปทั่วทั้งสนาม มาราโดน่าและชูสเตอร์เป็นตัวชูโรงหลักของบาร์เซโลนา สาดลูกเตะกังฟูเข้าใส่อะไรก็ตามที่มียสีแดง-ขาว ในขณะที่ผู้เล่นแอธเลติกหยุดการเฉลิมฉลองเพื่อตอบโต้ ในขณะเดียวกันโซล่าก็ถูกหามขึ้นเปลสนามพาตัวออกไป