ประวัติความเป็นมาของกีฬาขี่ม้า เกมกีฬาสุดแกร่งที่คนรักการแข่งม้าต้องรู้ !

ประวัติความเป็นมาของกีฬาขี่ม้า เกมกีฬาสุดแกร่งที่คนรักการแข่งม้าต้องรู้ !

 

ขี่ม้ากลายมาเป็นหนึ่งในกีฬาสำคัญที่สามารถสร้างให้ทั้งคนและม้า มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายกับจิตใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการยอมรับซึ่งกันและกัน เพราะม้าแต่ละตัวจะยอมให้มีผู้ขี่ประจำเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่สำคัญคือผู้ที่จะเป็นนักกีฬาขี่ม้าจำเป็นจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงและมีน้ำหนักที่พอดี เพื่อไม่ให้ม้าต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไปและการควบคุมม้าต้องใช้กำลังมากพอสมควร ทั้งยังเสี่ยงต่อการตกม้าที่อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย

 

ride-horse-sport

 

ประวัติความเป็นม้าของกีฬาขี่ม้า 

กีฬาขี่ม้า ประวัติเริ่มต้นมาจากการที่มนุษย์นำม้ามาเป็นพาหนะในการใช้เดินทางตั้งแต่อดีต ซึ่งม้านั้นถือว่าเป็นสัตว์ที่มีความแข็งแกร่งสูง สามารถวิ่งได้ไกลและถ้าเป็นม้าจ่าฝูงจะมีความแข็งแกร่งที่สุดและวิ่งได้เร็วเป็นอย่างมาก จึงเกิดเป็นกีฬาแข่งม้าที่จะต้องผสมผสานความสามารถของทั้งคนและสัตว์ที่อยู่ร่วมกัน พร้อมอาศัยความเชื่อใจซึ่งกันและกัน เพราะม้าถือว่าเป็นสัตว์ที่ยากต่อการควบคุมพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลือกเจ้านาย 

ดังนั้น ผู้ที่จะแข่งกีฬาขี่ม้าได้จำเป็นจะต้องได้รับการยอมรับจากม้าของตัวเองด้วยเช่นกัน สำหรับการขี่ม้าเพื่อแข่งขันและชนะรางวัลนั้น จะไม่มีการแบ่งว่าม้าจะต้องเป็นเพศใด เพราะม้าเป็นสัตว์ที่ไม่ว่าจะเป็นเพศเมียหรือเพศผู้จะมีความแข็งแกร่งที่ไม่แพ้กัน สำหรับการเข้าแข่งขันของกีฬาประเภทนี้เริ่มต้นขึ้นในการแข่งขันโอลิมปิกระดับโลกของปี ค.ศ. 1956 ที่เมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย แต่การแข่งขันแบบจริงจังและเป็นทางการนั้นกลับเกิดขึ้นที่ประเทศสวีเดน

ประเทศออสเตรเลียมีกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการใช้สัตว์ จึงทำให้การแข่งขันต้องเกิดกระบวนการนำม้าจากต่างประเทศเข้าสู่ออสเตรเลียที่มีกระบวนการขออนุญาตต่าง ๆ ยุ่งยากและใช้เวลายาวนาน การแข่งขันโอลิมปิก 1956 ที่ออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ แต่กลับต้องให้นักกีฬาพาม้าของตัวเองไปแข่งขันที่สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนแทน ส่วนประเภทของการแข่งม้าจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ประเภทด้วยกัน คือ ศิลปะการบังคับม้า, การกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง, การแข่ง Eventing , การขี่ม้าแบบวิบาก และการเล่นยิมนาสติกบนหลังม้า 

ซึ่งกีฬาทั้ง 6 ประเภทนี้จะถูกใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกเพียงแค่ศิลปะการบังคับม้า, การกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และ Eventing เท่านั้น ส่วนอีก 3 ประเภทที่เหลือจะมีการแข่งขันแยกออกมาต่างหาก การแข่งขันกีฬาขี่ม้าในไทยทางสมาคมจึงได้มีการกำหนดไว้แบบเดียวกันกับโอลิมปิก แต่ในขณะเดียวกันการแข่งขันกีฬาขี่ม้าใน 3 ประเภทหลังก็มีการส่งนักกีฬาไปแข่งขันที่ต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดกว้างและเพิ่มโอกาสให้กับนักกีฬามากที่สุด

 

ride-horse-sport4

 

ส่วนอีกหนึ่งการแข่งขันยอดนิยมของกีฬาขี่ม้า คือ “โปโล” ที่แม้จะไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิก แต่ก็มีมาอย่างยาวนานกว่า 600 ปี และได้รับความนิยมในกลุ่มของชนชั้นสูง กีฬาขี่ม้าโปโลเป็นกีฬาสนุกที่เล่นกันระหว่างชาวเปอร์เซียกับชาวเติร์กที่ถูกระบุในบันทึกชัดเจน ซึ่งในมองโกลเจงกิสข่านได้นำกีฬาประเภทนี้มาเล่นเป็นความบันเทิงอีกด้วย สำหรับทางประวัติศาสตร์นั้นมีการระบุว่าอาณาจักรเปอร์เซียนำกีฬาขี่ม้าโปโลไปเล่นอย่างแพร่หลาย และได้รับความนิยมมายาวนานกว่า 2,600 ปี ส่วนในประเทศไทยกีฬาขี่ม้าโปโลเริ่มได้รับความสนใจตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 จากนั้นก็เริ่มแพร่หลายเข้ามามากขึ้น จนกระทั่งมีการตั้งทีมเพื่อแข่งขันกันเองและแข่งขันกับทีมชาติอังกฤษ โดยกีฬาขี่ม้าโปโลจะต้องเลี้ยงดูม้าอย่างดีและผู้ขี่จะต้องมีความชำนาญด้านการขี่ม้า สามารถควบคุมม้าได้ ซึ่งในประเทศไทยนั้นเรียกการแข่งขันกีฬาม้าโปโลว่า “ตีคลี”

กติกาของการแข่งขันขี่ม้า

กติกากีฬาขี่ม้าจะถูกแบ่งออกตามประเภทของการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อกีฬาขี่ม้าในไทยได้รับอนุญาตให้จัดการแข่งขัน 3 ประเภทหลัก กติกากีฬาขี่ม้าจึงจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังต่อไปนี้

 

ride-horse-sport1

1.ศิลปะการบังคับม้า

กติกาแข่งม้าด้วยศิลปะการบังคับม้าหรือ Dressage จะมีท่าที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนภายในการแข่งขันและจะต้องทำท่าเหล่านั้นตามเวลาที่กำหนด จะมีคะแนนของท่าบังคับที่ท่าละ 10 คะแนน และจะมีการใช้คะแนนสะสมที่จะตรวจสอบภาพรวมของการแสดงออกทั้งม้าและคนเป็นหลัก พร้อมการลงคะแนน 4 ข้อหลัก เมื่อรวมกันแล้วจะได้คะแนนเต็ม 240 คะแนน

 

ride-horse-sport2

2.การกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง

แข่งม้าข้ามเครื่องกีดขวางภายในการแข่งขันจะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมต่อม้าและนักกีฬา จะมีทั้งหมด 12 เครื่อง เป็นหลัก โดยในแต่ละเครื่องจะเป็นการดูว่าความสามารถของม้าและผู้เข้าแข่งขันจะสามารถข้ามสิ่งกีดขวางไปได้ครบทุกเครื่องอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ทิศทางของความเคลื่อนไหวจะต้องมีทั้งทางตรง, เลี้ยวซ้าย, เลี้ยวขวา, การตีโค้ง, การทำมุมแคบที่ถือว่าจะยากต่อการกระโดด จะมีกรรมการเป็นผู้ตัดสินอย่างยุติธรรมและจะเน้นความปลอดภัยของม้าและผู้เข้าแข่งขันเป็นหลัก ส่วนระยะทางนั้นจะถูกกำหนดจากทางผู้จัดการแข่งขัน คะแนนจะดูจากทิศทางของการบังคับม้าว่าถูกต้องหรือไม่? โดยจะมีทั้งคะแนนเต็มและคะแนนติดลบ

 

ride-horse-sport3

3.Eventing

การแข่งขันขี่ม้าแบบ Eventing จะต้องมีการทดสอบถึง 3 ระดับ คือ ศิลปะของการบังคับม้า, การขี่ม้าข้ามภูมิประเทศ และการกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง แล้วนำคะแนนทั้งหมดมารวมกัน ผู้ใดที่สามารถบังคับม้าให้ผ่านทั้ง 3 ด่านนี้โดยที่คะแนนโดนหักน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะไปทันที ดังนั้นคะแนนของการแข่งขันจะมาในรูปแบบของคะแนนสะสม จะแบ่งออกเป็นการขี่ม้าตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ประมาณ 6 กิโลเมตร, การข้ามเครื่องกีดขวางประมาณ 8 เครื่อง และการวิ่งระยะทางยาวกว่า 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันแบบข้ามภูมิประเทศและจะมีเครื่องกีดขวางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนเส้นทางในระยะอีกประมาณ 4-8 กิโลเมตร เท่ากับว่าการแข่งขันโดยรวมภายในรายการนี้จะไม่ต่ำไปกว่า 20 กิโลเมตร

 

การแข่งขันขี่ม้าที่คนภายนอกมองว่าเป็นกีฬาแห่งความสง่างามและมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่ทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นหนึ่งในกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถสูง ต้องใช้ทักษะที่ดี และการผสานระหว่างนักกีฬากับม้าที่จะต้องร่วมมือ ร่วมแรงกัน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดก็ตามสามารถที่จะเข้าแข่งขันกีฬาขี่ม้าได้ เพียงแค่มีฝีมือที่ดีและเข้าใจม้าของตัวเองมากที่สุด